สวัสดีครับ เมื่อครั้งที่แล้วผมได้นำเสนอเกี่ยวกับวัดเซนโซจิ ที่เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งประจำกรุงโตเกียวไปแล้วนะครับ สำหรับในครั้งนี้ ผมจะขอเสนอเรื่องเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองปีใหม่ในแบบฉบับของญี่ปุ่น ที่ค่อนข้างจะแตกต่างกับของประเทศอื่นๆ อยู่พอสมควร แต่ก็ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่มีความน่าสนใจไปอีกแบบครับ สำหรับพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกท่าน ที่ได้เคยมีโอกาสมาใช้ช่วงเวลาเฉลิมฉลองปีใหม่ที่โตเกียว หรือในเขตจังหวัดต่างๆ ของญี่ปุ่น อาจจะรู้สึกแปลกใจกับบรรยากาศที่ดูเงียบเชียบ ผิดกับภาพลักษณ์ที่เป็นเมืองทันสมัย แม้แต่ในย่านที่ไม่เคยหลับใหลอย่างย่านชินจูกุ ร้านรวงส่วนใหญ่ก็ปิดทำการในช่วงวันหยุดยาว หรือปิดร้านเร็วกว่าช่วงเวลาปกติใช่ไหมครับสำหรับในย่านชิบุย่า ก็มีเพียงการปิดถนนจัดพื้นที่ในโซนห้าแยกชิบุย่า เพื่อให้ผู้คนได้มารวมตัวกันเพื่อนับถอยหลังเคาท์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่เพียงเท่านั้น ไม่มีการแสดงดนตรี หรือถ่ายทอดทางทีวีอย่างประเทศไทยแต่อย่างใดครับ โดยปกติแล้ว คนญี่ปุ่นมักจะใช้เวลาในช่วงวันสิ้นปีกับครอบครัว ทานอาหารอร่อยๆ ร่วมกัน อย่างเช่น ซูชิ และโซบะ ซึ่งเป็นอาหารประเภทเส้นอย่างหนึ่ง เนื่องจากชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า การทานโซบะในคืนข้ามปี จะทำให้มีสุขภาพดี และอายุยืนยาวเหมือนเส้นของโซบะครับ สำหรับกิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นนิยมทำกันอีกอย่างก็คือ การไปไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดหรือศาลเจ้าใกล้บ้าน ในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนเพื่อเป็นสิริมงคล ซึ่งเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ฮัทสึโมเดะ (Hatsumode) ครับ ซึ่งถ้าเทียบกับเมืองไทยแล้วผมคิดว่าก็มีส่วนคล้ายกับการไปสวดมนต์ข้ามปีที่วัดครับ โดยชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะคู่รักและเพื่อนสนิท มักจะชวนกันไปที่วัดหรือศาลเจ้าในช่วงค่ำของคืนวันที่ 31 ธันวาคม และรอจนกระทั่งเที่ยงคืน ที่วัดและศาลเจ้าก็จะมีการตีระฆังเพื่อเป็นสัญญาณการเข้าสู่ปีใหม่ และประชาชนที่มารอเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลก็จะทยอยเดินเข้าไปทำบุญกันอย่างเป็นระเบียบ โดยทุกๆ ปีที่ผ่านมาที่ผมอยู่ที่นี่ ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีนี้ทุกปีครับ ปีนี้ก็เข้าสู่ปีที่สามของผมแล้ว แต่บรรยากาศและความคึกคักก็ไม่เปลี่ยนแปลง และผมก็ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสก็จะเดินทางมาร่วมพิธีทุกปีครับ โดยศาลเจ้าที่ผมเลือกเดินทางไปสักการะเป็นประจำทุกปีก็คือ ศาลเจ้าเมจิจินกู (Meiji Jingu) ซึ่งเป็นศาลเจ้าประจำกรุงโตเกียว มีชื่อเสียงพอๆ กับวัดเซนโซจิ ที่อาซากุสะครับ การเดินทางก็ทำได้ง่ายครับ โดยศาลเจ้าแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ย่านฮาราจูกุ สถานีรถไฟ ฮาราจูกุ (Harajuku Station) ครับ จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้ ก็คือ การเป็นศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความเลื่อมใสจากชาวญี่ปุ่นมาตั้งแต่ยุคสมัยเมจิ (พ.ศ. 2411-2455) แม้จะตั้งอยู่ในย่านการค้าและทันสมัยอย่าง ย่านฮาราจูกุ และโอโมเตะซันโดะ แต่ก็ยังคงความร่มรื่น ร่มเย็น ไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยมากมายครับ เพียงแค่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณเขตของศาลเจ้า ทุกคนก็สามารถรับรู้ได้ถึงความร่มเย็น ที่แตกต่างจากย่านการค้าภายนอกได้อย่างเป็นอย่างดีครับ ทำให้ผมมักจะเดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ เพื่อผ่อนคลายอยู่บ่อยครั้งครับโดยเมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ผมก็ได้เดินทางไป สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ข้ามปี ที่ศาลเจ้าเมจิจินกู กับเพื่อนครับ และได้ถ่ายรูปบรรรยากาศมาด้วย อย่างที่ทุกท่านได้เห็น ผู้คนที่เดินทางมาก็เยอะมากเลยครับ ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะชาวญี่ปุ่นเท่านั้น แต่กลุ่มเพื่อน หรือคู่รักชาวต่างชาติก็ให้ความสนใจกับประเพณีการฉลองปีใหม่แบบญี่ปุ่นแบบนี้กันมากพอสมควรเลยครับ ในปีนี้ ผมไปถึงที่ศาลเจ้าก่อนเวลาเที่ยงคืนเล็กน้อย ต่อแถวประมาณชั่วโมงครึ่งก็ได้เข้าสักการะครับ แม้จะรอนานท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็นในค่ำคืนของฤดูหนาวของญี่ปุ่น แต่ผมและคนอื่นๆ ที่เดินทางมานั้น ต่างก็กระตือรือร้นและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานมากเลยครับ และก็อาจจะเป็นเพราะอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากมาย ทำให้รู้สึกเหมือนมีกำแพงช่วยป้องกันความหนาวและให้ความอบอุ่นได้บ้างครับโดยหลังจากสักการะขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนญี่ปุ่นก็มักจะนิยมซื้อเครื่องรางเพื่อความโชคดีรับปีใหม่ ที่ทางวัดและศาลเจ้าได้จัดจำหน่ายไว้กลับบ้านไปเป็นที่ระลึกด้วยครับ อย่างไรก็ตาม ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆ ได้มีโอกาสมาเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงวันส่งท้ายปีใหม่ ผมก็ขอเชิญชวนให้ลองไปฉลองปีใหม่ในสไตล์ญี่ปุ่นดูนะครับ ก็น่าจะได้รับประสบการณ์ที่น่าจดจำและประทับใจไปอีกแบบครับผม สำหรับในครั้งนี้ผมก็ขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า สวัสดีครับ
ผู้เขียน : ไพโรจน์ เรืองมนประเสริฐ (โรจน์) บัณฑิตทุน รุ่นที่ 13/2557